เมืองไทยเป็นแหล่งขุมทรัพย์อาหารอร่อย และมีอาหารหลากหลายให้ทั้งคนไทยและต่างชาติได้ลิ้มลองสัมผัส จนติดปาก ติดใจ และติดพุง!!
เอาล่ะสิตามใจปาก ที่นี้ลำบากพุง และ ความอ้วน กำลังคืบคลาน เกาะแก้ม เกาะแขน เกาะขา สลัดไม่ค่อยจะออก แน่นอนทุกคนรู้ การจะลดน้ำหนัก ก็ต้องงดตามใจปาก แต่มันห้ามยากเหมือนกันนะ แต่จะให้ไปออกกำลังกายหรือเข้าฟิตเนส ก็อาจไม่ใช่ทางสำหรับบางคน วันนี้เรามีวิธีลดน้ำหนักง่ายๆมาฝาก โดยไม่ต้องเจียดเวลาจากกิจวัตรประจำวัน ไม่ต้องมีอุปกรณ์อะไรมากมาย เพียงแค่รองเท้าที่เหมาะกับการเดินและทนทาน ไม่สึกง่ายก็พอแล้ว … เชื่อหรือไม่ เพียงแค่ “เดิน” ก็ผอมได้

การเดินไม่ได้เป็นการออกกำลังกายหนัก แต่การเดินออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยเพิ่มการหลั่งสารเอ็นโดรฟิน ที่เป็นสารแห่งความสุข ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น ตื่นตัวและกระปรี้กระเปร่า มีความแอ็คทีฟในการทำกิจวัตรประจำวัน โดยการเดินที่ให้ผลดี ควรจะเดินเป็นระยะทางประมาณ 5- 6 กม./ ชม. เป็นเวลา 4 ครั้ง / สัปดาห์ จะช่วยในการเผาผลาญพลังงาน รวมไปถึงอาหารที่ทานในแต่ละวันได้เป็นอย่างดี หรือถ้าช่วงไหนไม่สะดวก ก็อาจเดินให้ได้วันละ 20 นาทีเป็นอย่างน้อย โดยคนที่เพิ่งต้นอาจเริ่มจากการเดินเล่นช้าๆ ให้ร่างกายได้มีการปรับและคุ้นชิน แล้วค่อยๆเพิ่มอัตราความเร็วในการเดิน และระยะทางที่ไกลมากขึ้น
คนที่ลดน้ำหนักส่วนใหญ่จะมีปัญหาน้ำหนักเด้งกลับ และมักจะกลับมาเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว แต่การเดินจะช่วยรักษาน้ำหนักให้คงที่ได้ เพราะนอกจากจะช่วยเผาผลาญแคลอรี่ การเดิน ยังช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อกับอวัยวะส่วนต่างๆ ได้เป็นอย่างดี มีการวิจัยพบว่า หากต้องการให้มีน้ำหนักคงที่ ควรเดินอย่างน้อย 150 นาที / สัปดาห์ แต่กรณีที่ต้องการให้น้ำหนักลดลงเร็วๆ ควรเดินอย่างน้อย 200 นาที / สัปดาห์ เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำหนักที่ลดหายไปเด้งกลับมาอีก
ควรเดินช่วงเวลาไหนถึงจะดี?

การเดินออกกำลังกายในช่วงเช้าจะช่วยให้ร่างกายตื่นตัว มีความแอ็คทีฟ หากเดินออกกำลังกายในช่วงเช้าสม่ำเสมอ จะช่วยให้ระบบประสาทตื่นตัวอัตโนมัติ เพราะได้รับการกระตุ้นจากการเดิน ส่งผลต่อความแอ็คทีฟของร่างกาย พร้อมในการทำงานและกิจวัตรประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ อิริยาบถดูมั่นใจ มีความเชื่อมั่น ตลอดไปถึงระบบความคิดและการตัดสินใจที่ดีอีกด้วย ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดในการเดินออกกำลังกายคือ ความสม่ำเสมอ การได้เดินทุกเช้า หรือช่วงเวลาที่สบายๆ อย่างเป็นประจำ จะมีประสิทธิภาพต่อการลดน้ำหนัก รวมไปถึงสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงขึ้น
อีกช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการออกกำลังกาย คือ 10 โมงเช้า เพราะอาหารเช้าได้ย่อยไปในระดับหนึ่งแล้ว ระบบย่อยอาหารกำลังทำงาน การออกกำลังกายช่วงนี้จะกระตุ้นการเผาผลาญพลังงานได้มากขึ้น ไขมันในร่างกายจะถูกดึงออกมาใช้ตลอดวันมากขึ้น ช่วยลดความอ้วนได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ เช่น หอบหืด หรือ ผู้ที่เป็นภูมิแพ้ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายตอนเช้า และระมัดระวังเป็นพิเศษในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยโรคหัวใจ และผู้ป่วยที่มีภาวะเส้นเลือดในสมองอุดตัน

ทริคการเดินออกกำลังกาย
- เดินออกกำลังกายช่วงเช้า ด้วยการเดินเร็ว ประมาณ 20 – 30 นาที
- เดินออกกำลังกายช่วงเย็น ด้วยการวอร์มอัพเบาๆ เพื่อบริหารกล้ามเนื้อและเตรียมพร้อมร่างกาย ประมาณ 10 นาที ตามด้วย พาวเวอร์วอร์กกิ้ง (power walking) ด้วยการเดินให้เร็วขึ้น 50 นาที
- ใช้บริการขนส่งสาธารณะแทนการใช้รถส่วนตัว เพื่อจะได้เดินไปยังป้ายรถประจำทาง หรือสถานีรถไฟใต้ดิน / รถไฟฟ้า
- ใช้การเดินขึ้น – ลง บันไดแทนการใช้ลิฟท์และบันไดเลื่อน
- หาโอกาสได้เดินไปทำงาน และเดินกลับหลังเลิกงาน 20 – 30 นาที
- เดินให้ได้ระยะทางวันละ 3 – 5 กิโลเมตร
- ออกกำลังกายด้วยการเดินเร็ว เพราะการเดินเร็วจะช่วยเผาผลาญพลังงานได้มากกว่าการเดินช้าๆ เนื่องจากร่างกายจะมีการขยับอวัยวะเร็วขึ้น ช่วยลดไขมัน และเพิ่มกล้ามเนื้อให้กับส่วนต่างๆ
ข้อดีของการเดินออกกำลังกาย นอกจากจะช่วยเรื่องของการลดน้ำหนักได้แล้ว ยังช่วยให้ผู้ที่โรคประจำตัวที่ไม่สามารถออกกำลังกายหนักได้ สามารถออกำลังกายได้เบาๆ ด้วยการเดิน และทำให้สุขภาพดีขึ้นได้ อาการของโรคที่เป็นอยู่บรรเทาได้ เช่น ผู้ที่เป็นภูมิแพ้อาจไม่ต้องพึ่งยาแก้ภูมิแพ้ไปอีกนาน อีกทั้งการเดินออกกำลังกายยังทำได้ง่าย ไม่มีข้ออ้างในการผลัดผ่อน อัตราการล้มเลิกกลางคันต่ำ ทำได้ทุกวัย ตั้งแต่เด็กเล็กไปจนถึงวัยสูงอายุ ไม่มีค่าใช้จ่าย อ่านบทความนี้จบแล้ว ไปเดินออกกำลังกายกันเถอะ!!