เมื่อคนเริ่มหันมาให้ความใส่ใจในสุขภาพกันมากขึ้น เทรนด์สุขภาพกำลังมา ส่งผลให้อาหารเสริม และวิตามินต่าง ๆ มีจำหน่ายในท้องตลาดให้เลือกทานมากมาย จนหลายคนอาจเลือกไม่ถูก ควรกินอาหารเสริมตัวไหนดี กินวิตามินตัวไหนดีกับเรามากกว่ากัน เพราะแต่ละช่วงอายุ และกิจวัตรประจำวันของแต่ละคนก็แตกต่างกันไป ความต้องการสารอาหารและแร่ธาตุจึงแตกต่างไปด้วย
แล้ววิตามินหลัก ๆ ที่สามารถทานเสริมในแต่ละช่วงวัยมีอะไรบ้าง เพื่อให้ได้ผลที่ดีต่อสุขภาพ และตอบโจทย์ต่อความต้องการของวัยเรามากที่สุด ไปดูกันเลยดีกว่าค่ะ
วิตามินสำหรับวัย 20+
ช่วงอายุ 20+ วัยเรียน วัยทำงาน เน้นการบำรุงสมอง บำรุงสายตา บำรุงผิว และการลดสิว วิตามินที่ตอบโจทย์ ได้แก่
- วิตามินรวม (Multivitamin) อาหารเสริมที่รวมวิตามินหลายชนิดเข้าด้วยกัน อีกทั้งยังมีแร่ธาตุ และเกลือแร่ ทั้งวิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี วิตามินดี วิตามินอี กรดโฟลิก แคลเซียม แมกนีเซียม สังกะสี ไบโอติน และ กรดอะมิโน แอล-ไลซีน เหมาะกับคนที่ต้องใช้สมองทำงานหนัก อย่าง วัยเรียน วัยทำงาน คนพักผ่อนน้อย ขาดสารอาหาร ผู้ที่ทานเจ ทานมังสวิรัติ รวมไปถึงผู้ป่วยที่กำลังพักฟื้น
- Zinc หรือ แร่ธาตุสังกะสี ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ส่งเสริมการทำงานของวิตามินเอ ช่วยให้ร่างกายนำวิตามินเอไปใช้งานได้มีประสิทธิภาพ ยับยั้งการเติบโตของไวรัสหวัด ต่อต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบได้ดี ลดสิวอุดตัน บำรุงผมและเล็บให้แข็งแรง เหมาะกับช่วงวัยที่เจริญเติบโต มีสิว ทานเจ กินมังสวิรัติ ผู้มีปัญหาโรคลำไส้ หญิงตั้งครรภ์ และมารดาให้นมบุตร
- Bilberry ช่วยถนอมดวงตาให้มีความชุ่มชื้น เหมาะกับวัยทำงาน ผู้ที่ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ ผู้ที่มองหน้าจอเป็นเวลานาน ๆ หรือเล่นมือถือบ่อย ๆ
วิตามินสำหรับวัย 30+
ช่วงอายุ 30+ เน้นการบำรุงผิวพรรณ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน บำรุงร่างกาย ต้านอนุมูลอิสระ วิตามินที่ตอบโจทย์ ได้แก่
- วิตามินบีรวม หรือ Vitamin B Complex เป็นวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย ประกอบไปด้วย วิตามินบี 1,2,3,5,6,7,9 และ วิตามินบี 12 ช่วยบำรุงประสาทและสมอง ลดอาการไมเกรน บำรุงผิว เล็บ เส้นผม บำรุงความจำ ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ เหมาะกับวัยทำงาน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องใช้สมองเยอะ ๆ หรือผู้ที่ต้องใช้งานร่างกายหนัก ผู้ที่มีรู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า ไม่สดชื่น
- โคเอนไซม์คิวเทน (Co Q10) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย ชะลอการเกิดริ้วรอย บำรุงสมอง บำรุงหัวใจ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจให้ดีขึ้น
วิตามินสำหรับวัย 40+
ช่วงอายุ 40+ เน้นการเสริมภูมิคุ้มกัน เพิ่มคอลลาเจนใต้ผิว เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ชะลอการเสื่อมของเซลล์ผิว อาหารเสริมและวิตามินที่ตอบโจทย์ ได้แก่
- วิตามินซี เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ปกป้องร่างกายจากเชื้อโรค ต้านอนุมูลอิสระ บำรุงผิวใส
- แคลเซียม เสริมสร้างมวลกระดูกให้หนาแน่น เพราะคนในช่วงอายุ 40+ จะเริ่มมีปัญหาเกี่ยวกระดูกเปราะ กระดูกกร่อน กระดูกบาง เนื่องจากการเสื่อมสภาพตามกาลเวลา
- อีฟนิ่งพริมโรสออยล์ บำรุ่งผิวพรรณ เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ลดอาการปวดท้องประจำเดือน ปวดคัดหน้าอก และลดอาการแปรปรวนในวัยทอง
วิตามินสำหรับวัย 50+
ช่วงอายุ 50+ สารอาหารที่ผู้สูงอายุควรได้รับ ควรเน้นการเสริมสร้างกระดูก อาการท้องผูก ปรับลำไส้ให้สมดุล ป้องกันความจำเสื่อม วิตามินที่ตอบโจทย์ ได้แก่
- แคลเซียม เพราะยิ่งอายุยิ่งเยอะ มวลกระดูกยิ่งเสื่อมและผุกร่อนง่าย จึงต้องดูแลเรื่องการสร้างมวลกระดูกให้มีความหนาแน่น ซึ่งจะพบแคลเซียมมากในนม งาดำ ถั่วเหลือง ปลาเล็กปลาน้อย กุ้งแห้ง กุ้งฝอย เป็นต้น
- โพรไบโอติก ช่วยแก้ปัญหาระบบขับถ่าย ปัญหาลำไส้ ช่วยปรับและเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับผนังลำไส้ ลดอาการท้องผูก เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาถ่ายยาก หรือมีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้และระบบขับถ่าย
- น้ำมันปลา (Fish Oil) ช่วยสร้างเยื่อบุผิวหนัง บำรุงกระดูก สร้างภูมิต้านทาน ยับยั้งการเกาะตัวของเกล็ดเลือด ลดไขมันในเลือด ช่วยขยายหลอดเลือด ทำให้การไหลเวียนเลือดดี ลดการอุดตันของหลอดเลือด ลดปัญหาอาการข้อ-เข่าเสื่อม ลดการอักเสบ ป้องกันสมองเสื่อม ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคอัลไซเมอร์ ป้องกันการเกิดโรคซึมเศร้า
อย่างไรก็ตาม การใช้วิตามินเป็นเพียงการช่วยเสริมบำรุงร่างกาย ทดแทนสารอาหารและแร่ธาตุที่อาจได้รับไม่เพียงพอในแต่ละวัน แต่ไม่สามารถใช้วิตามินรักษาโรคได้ การดูแลตนเองด้วยการทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายเป็นประจำ ลดการดื่มแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่ เพื่อให้มีสุขภาพดี ร่างกายแข็งแรง จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม หากทานอาหารที่มีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายได้อย่างเพียงพอและครบถ้วน ก็ไม่จำเป็นต้องเสียเงินเพื่อซื้ออาหารเสริมใด ๆ แต่ถ้าหากจำเป็นต้องทานวิตามิน ควรปรึกษาแพทย์ เภสัชกร หรือผู้เชี่ยวชาญ เพื่อจะได้ทานได้อย่างเหมาะสมในรายบุคคล