กาแฟมี ‘คาเฟอีน” สารที่มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า มีความตื่นตัว และกระปรี้กระเปร่า มีประสิทธิภาพในการทำงาน เพราะคาเฟอีนแผลงฤทธิ์ใส่ตัวรับอะดีโนซีน ที่เป็นสารทำให้รู้สึกรู้สึกอ่อนเพลีย และอยากนอน นอกจากนี้กาแฟยังมี Antioxidant หรือสารต้านอนุมูลอิสระ มีแร่ธาตุ และวิตามินต่างๆ เช่น วิตามิน B2, B3, B5, โพแทสเซียม , แมงกานีส และ แมกนีเซียม ซึ่งสารเหล่านี้สำคัญต่อการช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ลดและต้านอนุมูลอิสระ ไม่ให้สร้างความเสียหายกับระบบเซลล์ ชะลอความเสื่อมของร่างกาย และช่วยป้องกันการเกิดโรคต่างๆ แต่ประโยชน์เหล่านี้จะต้องมาจากการดื่ม “กาแฟดำ” หรือกาแฟที่ผสมกับน้ำเปล่าเท่านั้น

การดื่มกาแฟดำกับโรคต่างๆ
1.กาแฟดำลดความเสี่ยงต่อโรคพาร์กินสัน โดยการดื่มกาแฟดำวันละ 1-2 แก้ว หรือปริมาณวันละ 124-208 มิลลิกรัม นอกจากนี้ การดื่มกาแฟดำวันละ 1-3 แก้วจะดีต่อผู้หญิงอีกด้วย
2.กาแฟดำช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะ โดยการดื่มกาแฟวันละ 2 แก้ว หรือ ประมาณ 250 มิลลิกรัม / วัน เพราะคาเฟอีนในกาแฟ มีฤทธิ์ในการหดตัวหลอดเลือดที่กำลังโป่งขณะที่มีอาการไมเกรน ทำให้อาการปวดศีรษะลดลงได้ แต่ก็เพียงชั่วคราวเท่านั้น
3.กาแฟดำป้องกันโรคนิ่วในถุงน้ำดี การได้รับคาเฟอีนวันละ 400 มิลลิกรัม หรือไม่เกิน 800 มิลลิกรัม หรือเทียบเท่ากับการดื่มกาแฟ 2 แก้ว จะช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงโรคนิ่วในถุงน้ำดีได้ แต่จะต้องไม่ดื่มกาแฟตอนท้องว่าง เพราะจะทำให้ถุงน้ำดีหดตัวอย่างรุนแรง
4.กาแฟดำช่วยป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบซี จากการวิจัยพบว่า การดื่มกาแฟดำเป็นประจำ วันละ 2-3 แก้ว ช่วยบรรเทาและป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบซี โรคที่แสนอันตรายนี้ได้ แต่ควรระวังในการดื่มสำหรับผู้ที่จำกัดหรือถูกห้ามดื่มเครื่องดื่มคาเฟอีน
5.กาแฟดำช่วยป้องกันโรคหอบ การดื่มกาแฟดำเป็นประจำ ฤทธิ์ของคาเฟอีนจะช่วยระงับความตึงเครียดของประสาทสัมผัส เนื่องจากโรคหอบเกิดจากการที่ประสาทสำรองถูกกระตุ้น ทำให้แสดงอาการออกมา เมื่อดื่มกาแฟดำ ก็จะช่วยป้องกันการกระตุ้นจนไม่แสดงอาการออกมานั่นเอง
6.กาแฟดำช่วยป้องกันโรคมะเร็ง กาแฟดำมีกรดอะซิติก ช่วยทำลายเซลล์ที่ผิดปกติ และยับยั้งการเจริญเติบโตของก้อนเนื้อร้าย ที่เสี่ยงต่อการกลายเป็นมะเร็ง แต่กาแฟดำเพียงแค่ช่วยป้องกันในเบื้องต้นเท่านั้น ไม่สามารถใช้ในการรักษามะเร็งได้
7.กาแฟดำลดความเสี่ยงโรคหัวใจ เนื่องจากในกาแฟดำมีวิตามินบีรวมชนิดที่เรียกว่า “นิโคติน” ช่วยป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว และช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด จึงช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ รวมไปถึงความเสี่ยงต่อภาวะไขมันในเลือดสูงอีกด้วย แต่ทั้งนี้ สำหรับคนที่เป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว ไม่ควรดื่มกาแฟเด็ดขาด หรือควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ
8.กาแฟดำลดความเสี่ยงโรคตับ ประโยชน์ของกาแฟดำช่วยให้ตับแข็งแรง ช่วยป้องกันโรคตับต่างๆ ทั้งลดการเกิดพังผืดในตับ ลดการเกิดโรคมะเร็งตับ ไวรัสตับอักเสบ ไขมันพอกตับ เป็นต้น
9.กาแฟดำกับโรคอัลไซเมอร์ จากผลการวิจัยพบว่า กาแฟดำช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมน G-CSF ที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคความจำเสื่อมในผู้สูงวัยได้ หากมีการดื่มกาแฟวันละ 3-4 แก้ว จะช่วยกระตุ้นความจำ ส่งผลต่อการงานของสมองได้ดีขึ้น อีกทั้งกาแฟดำมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ประสาท ช่วยลดอาการหลงลืมได้
10.กาแฟดำกับโรคอ้วน หลายคนที่ยังเข้าใจผิดว่า ดื่มกาแฟจะทำให้อ้วน แต่ที่จริงแล้ว การดื่มกาแฟดำต่อเนื่อง จะช่วยลดความอ้วนได้ เพราะฤทธิ์ของกาแฟดำ จะช่วยเผาผลาญพลังงานได้เป็นดีขึ้น 3-4% แต่จะต้องเป็นการดื่มกาแฟหลังอาหารเป็นประจำ ถึงจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับลดความอ้วน เพราะกาแฟจะเข้าไปทำให้ไขมันแตกตัว และสลายไม่จับเป็นก้อน จนเกิดไขมันสะสมตามจุดต่างๆ สาเหตุของโรคอ้วนนั่นเอง แต่จะต้องดื่มกาแฟดำกับน้ำเปล่าเท่านั้น
ต้องยอมรับว่า การดื่มกาแฟ ไม่ได้มีแต่ประโยชน์เท่านั้น แต่ก็มีอาการข้างเคียงตามมาได้ เช่น ใจสั่น นอนไม่หลับ รู้สึกวิตกกังวล หากดื่มในปริมาณที่มากเกินไป ดื่มไม่ถูกวิธี หรือดื่มในเวลาที่ไม่เหมาะสม

ดื่มกาแฟดำอย่างไรให้ได้ประโยชน์
การดื่มกาแฟดำให้ได้ประโยชน์ ดื่มประมาณ 2-4 แก้ว / วัน หรือปริมาณคาเฟอีน 200 – 400 มิลลิกรัม / วัน
หากเป็นการดื่มเครื่องดื่มชูกำลังก็ไม่ควรเกิน 2 ขวด / วัน ดังนั้นหากมีการดื่มเครื่องดื่มชูกำลัง จะต้องมีการคำนวนปริมาณกาแฟที่ดื่มให้น้อยลง หรือไม่ดื่มเลย เพื่อไม่ให้ร่างกายได้รับคาเฟอีนมากเกินไปในแต่ละวัน
ดื่มกาแฟในแต่ละช่วงเวลา จะส่งผลต่อร่างกายแตกต่างกัน เรามาดูกันว่าการดื่มกาแฟที่ต่างเวลากัน จะให้ผลเป็นอย่างไรกันบ้าง

ดื่มกาแฟหลังตื่นนอนตอนเช้า
หลังจากตื่นนอนตอนเช้า ได้กาแฟสักแก้ว คาเฟอีน จะช่วยกระตุ้นสมองให้มีความตื่นตัว เพื่อพร้อมในการเริ่มวันใหม่ แต่แนะนำให้เป็นการแฟร้อน จะมีประสิทธิภาพในการปลุกให้สมองและร่างกายตื่นตัวได้ดีกว่ากาแฟเย็น
ดื่มกาแฟยามบ่าย
การได้กาแฟสักแก้วยามบ่ายๆ ถัดจากมื้ออาหารเที่ยงไปสัก 1-2 ชั่วโมง จะช่วยกระตุ้นระบบการย่อยอาหาร กระตุ้นการทำงานของระบบเมตาโบลิซึม ขจัดความง่วงที่เกิดขึ้นหลังมื้ออาหาร ปลุกสมองให้ตื่นตัว และยังช่วยลดน้ำหนักได้เป็นอย่างดี
ดื่มกาแฟช่วงเย็น
ที่จริงแล้วควรงดการดื่มกาแฟตั้งแต่บ่าย 3 เป็นต้นไป เพราะฤทธิ์ของคาเฟอีน จะไปกระทบกับฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งเป็นฮอร์โมนเกี่ยวกับความเครียด ช่วยให้ร่างกายตื่นตัว และเป็นสเตียรอยด์ที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์ได้เอง โดยถูกสร้างขึ้นจากต่อมหมวกไต เมื่อฤทธิ์ของคาเฟอีนไปเจอกับคอร์ติซอล จะยิ่งทำให้ร่างกายมีความตื่นตัว ตึงเครียด และนอนไม่หลับ

ดื่มกาแฟดำตอนไหนให้ได้ประโยชน์ของกาแฟมากที่สุด
การดื่มกาแฟให้ได้ประโยชน์สูงสุด คือ การดื่มกาแฟดำหลังอาหารเช้า ไม่ควรดื่มกาแฟตอนท้องว่าง และไม่ควรดื่มกาแฟหลังบ่าย 3 เพราะร่างกายสามารถขับสารคาเฟอีนออกจากร่างกายได้หมดภายใน 6-12 ชั่วโมงอาจส่งผลต่อเนื่องในการนอน ทำให้นอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิท รวมไปถึงไม่ควรดื่มกาแฟเกินวันละ 4 แก้ว เพื่อไม่ให้ร่างกายได้รับคาเฟอีนมากเกินไป
ดื่มกาแฟแล้วใจสั่น
สำหรับผู้ที่ไม่ได้ดื่มกาแฟดำเป็นประจำ หรือผู้ที่มีปัจจัยทางพันธุกรรม เมื่อได้รับคาเฟอีน หรือดื่มกาแฟเข้าไปแล้ว อาจเกิดอาการใจสั่น เพราะฤทธิ์ของกาแฟเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ และความดันโลหิต เนื่องจากร่างกายมีการกำจัดคาเฟอีนได้ช้า จนทำให้มีอาการใจสั่นจนรู้สึกได้ และการปรับสภาพร่างกายอาจต้องใช้เวลานานกว่า 1 สัปดาห์ แต่สำหรับผู้ที่มีสุขภาพปกติ หรือดื่มกาแฟดำเป็นประจำจะไม่มีอาการดังกล่าว นอกเสียจากว่าดื่มกาแฟในปริมาณที่มากเกินพอดี

วารสารทางการแพทย์ Circulation เคยตีพิมพ์ผลการวิจัยว่า ผู้มีสุขภาพปกติที่มีการดื่มกาแฟดำเป็นประจำ ประมาณ 3-5 แก้ว / วัน ช่วยลดโอกาสการเกิดโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง แต่จะต้องเป็นกาแฟดำ ที่มีเพียงกาแฟและน้ำเปล่าเท่านั้น ส่วนกาแฟดำที่ใส่น้ำตาลหรือส่วนผสมอื่นๆ อาจส่งผลต่อสุขภาพได้ จึงสรุปได้ว่า การดื่มกาแฟดำทุกวันสำหรับผู้มีสุขภาพปกติไม่เป็นอันตราย หากดื่มไม่เกินปริมาณที่เหมาะสมกับร่างกาย ดื่มถูกวิธี และจะต้องเป็นกาแฟดำที่ไร้น้ำตาลและครีม!